tag:blogger.com,1999:blog-54505599556528200642024-03-12T16:54:35.394-07:00RFID (Radio Frequency Identification)RFID...วิไลลักษณ์ 507594http://www.blogger.com/profile/00051944257068241010noreply@blogger.comBlogger10125tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-30425764820191999672008-09-15T08:10:00.005-07:002008-09-15T08:10:48.024-07:00บทนำ<p><font color="#999999"> เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อการบริหารจัดการธุรกิจรูปแบบใหม่ คงทำให้หลาย ๆ ท่าน นึกถึง เทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) ซึ่งเป็นที่น่าจับตามอง อย่างมาก เพราะประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้ จะทำให้การดำเนินธุรกิจ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หลายองค์กรได้นำเอาเทคโนโลยีนี้ มาพัฒนาร่วมกับการใช้งาน ภายในองค์กรในรูปแบบต่างๆแล้ว <br><br /> เทคโนโลยี RFID ใช้ประโยชน์จากสัญญาณความถี่วิทยุโดยใช้เสาอากาศขนาดเล็ก เป็นตัวเชื่อมสัญญาณ ระหว่างตัวส่งและตัวรับ เนื่องจากความก้าวล้ำทางการผลิต เราสามารถที่จะสร้างเสาอากาศ ให้มีขนาดเล็กมาก เทียบเท่าหัวไม้ขีดไฟ ซึ่งโดยปรกติเสาอากาศที่ว่านี้จะถูกฝังลงไปเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อพลาสติกของบัตร ซึ่งยังมีตัวส่งกำลังเพื่อให้ทำงานได้ด้วย <br><br /> ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี RFID มาใช้ในบัตรต่าง ๆ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน, บัตรเอทีเอ็ม, บัตรสำหรับผ่านเข้าออกห้องพัก, บัตรโดยสารของสายการบิน, บัตรจอดรถ หรือแม้แต่ในฉลากสินค้า RFID ก็ถูกนำมาให้ในการเก็บบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า</font>ณุชนารถ 507595http://www.blogger.com/profile/15814416153519609386noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-74815678937013626832008-09-15T08:10:00.003-07:002008-09-15T08:10:37.040-07:00ประวัติและความเป็นมาของเทคโนโลยี RFID<p><font color="#999999"> RFID ถูกพัฒนามาในยุค ค.ศ. 1970 อุปกรณ์ RFID ที่มีการประดิษฐ์ขึ้นใช้งานเป็นครั้งแรกนั้น เป็นผลงานของ Leon Theremin เพื่อนำไปใช้ในการบ่งชี้วัตถุในระยะไกล และ สามารถอ่านข้อมูลจากป้าย (RFID Tag) ได้พร้อม ๆ กันหลายป้าย โดยที่เครื่องอ่านไม่ต้องสัมผัสกับตัวป้าย(RFID Tag) การอ่านข้อมูลสามารถอ่านได้แม้ในสภาพที่ทัศนวิสัยไม่ดี <br><br /> ยุคเริ่มแรกของการใช้ RFID ในเชิงพาณิชย์ ได้แก่ ระบบกันขโมย ในห้างสรรพสินค้า โดยที่ตัวสินค้าจะมีการติด RFID แบบ 1 บิต (ซึ่งจะมีค่าเป็น ‘0’ หรือ ‘1’) เมื่อมีการชำระเงินค่าสินค้าเครื่องอ่านและเขียนข้อมูล RFID จะทำการเปลี่ยนค่าบิต เป็น ‘0’ ทำให้สามารถนำสินค้าออกจากร้านได้ แต่หากมีการนำสินค้าออกจากร้านโดยที่วัถตุที่ติด RFID มีบิตเป็น ‘1’ สัญญาณเตือนจะดังขึ้น<br><br /> ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1990 บริษัท ไอบีเอ็มได้พัฒนาและจดสิทธิบัตร RFID ในย่าน UHF (ย่านความถี่ตั้งแต่ 300 เมกะเฮิรตซ์ ถึง 3 กิกะเฮิรตซ์) แต่เมื่อ บริษัทไอบีเอ็ม มีปัญหาด้านการเงิน จึงได้ขายสิทธิบัตรเกี่ยวกับ RFID ให้กับบริษัท Intermec ในช่วงกลาง ค.ศ. 1990 ซึ่งในขณะนั้นการใช้งานอุปกรณ์ RFID ยังไม่แพร่หลายมากนักเนื่องจากอุปกรณ์มีราคาสูง<br></font><br /><font color="#999999"> RFID กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ในปี ค.ศ. 1999 เมื่อ UCC (Uniform Code Council) EAN International บริษัท Procter & Gamble และ บริษัท Gillette ได้ร่วมก่อตั้งศูนย์ Auto-ID ขึ้นที่สถานบันเทคโนโลยีแมสซาซูเซตส์ (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนาแนวทางการใช้ RFID ในห่วงโซ่อุปทาน สำหรับติดตามสินค้าที่ส่งในสายใยอุปทานของตนเอง<br><br /> ภายหลังได้มีการนำ RFID มาประยุกต์ใช้กับงานด้าน ๆ กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บค่าทางด่วนอัตโนมัติ โดยนำ RFID Tag ติดกับรถ และ ติดเครื่องอ่านที่ด่วนเก็บเงิน หรือในทางด้านการเกษตรของสหรัฐ มีการนำป้ายแบบ Passive ชนิดความถี่ 25 กิโลเฮิรตซ์ สำหรับติดที่ตัววัว เพื่อใช้เก็บข้อมูลการฉีดวัคซีนของวัวแต่ละตัว เป็นต้น</font>ณุชนารถ 507595http://www.blogger.com/profile/15814416153519609386noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-29101121411137262352008-09-15T08:10:00.001-07:002008-09-15T08:10:24.455-07:00ส่วนประกอบของ RFID<p><font color="#999999"> ในระบบ RFID จะมีองค์ประกอบหลัก ๆ อยู่ 2 ส่วนด้วยกัน<br /> 1. ทรานสปอนเดอร์ หรือ ป้าย (Transponder/Tag) ในที่นี้ขอเรียก Tag ซึ่ง Tag นั้นใช้สำหรับติดกับวัตถุต่าง ๆ โดยป้าย จะประกอบด้วย สายอากาศและไมโครชิป ที่มีการบันทึกหมายเลข (ID) หรือ ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุชิ้นนั้น ๆ</font></p><br /><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SMy9eEPLGMI/AAAAAAAAAAs/y7okzT7feF0/s1600-h/pic1.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5245775990210894018" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SMy9eEPLGMI/AAAAAAAAAAs/y7okzT7feF0/s320/pic1.gif" border="0" /></a><em><font color="#999999">ตัวอย่าง Tag</font></em></font></p><br /><p><font color="#999999"> 2. เครื่องสำหรับอ่าน / เขียน ข้อมูลในป้าย (Interrogator / Reader) ในที่นี้ขอเรียก Reader การอ่าน หรือ เขียนข้อมูลใน Tag นั้น จะกระทำผ่านคลื่นความถี่วิทยุ โดย Reader สามารถอ่านรหัสได้โดยไม่ต้องเห็นTag หรือ Tagนั้นซ่อนอยู่ภายในวัตถุ และ ไม่จำเป็นที่ Reader และ Tag จะต้องอยู่ในแนวเส้นตรงกับคลื่นความถี่วิทยุ เพียง อยู่ในบริเวณที่สามารถรับคลื่นความถี่วิทยุได้ ก็สามารถอ่าน หรือ เขียนข้อมูลได้ และการอ่านข้อมูลสามารถอ่านได้ทีละหลาย ๆ Tag ในเวลาเดียวกัน</font></p><br /><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SMy9eZtBIsI/AAAAAAAAAA0/D-Uim4UsD6U/s1600-h/pic2.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5245775995973214914" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://1.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SMy9eZtBIsI/AAAAAAAAAA0/D-Uim4UsD6U/s320/pic2.gif" border="0" /></a><em>ตัวอย่าง Reader</em></font></p><br /><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://3.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SMy-ip1GV-I/AAAAAAAAABE/4X8hNVqkwZE/s1600-h/pic3.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5245777168533182434" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://3.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SMy-ip1GV-I/AAAAAAAAABE/4X8hNVqkwZE/s320/pic3.gif" border="0" /></a><em>ระบบการทำงานของ RFID</em></font>วิไลลักษณ์ 507594http://www.blogger.com/profile/00051944257068241010noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-74816788527871905162008-09-15T08:09:00.004-07:002008-09-15T08:10:07.352-07:00ป้าย TAG<p><strong><font color="#999999">โครงสร้างภายใน Tag</font></strong></p><br /><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://3.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SMzMhTt382I/AAAAAAAAAAU/mw13kDRrEfU/s1600-h/pic4.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://3.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SMzMhTt382I/AAAAAAAAAAU/mw13kDRrEfU/s320/pic4.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5245792538580218722" /></a></font></p><br /><p><font color="#999999"><br><br /> โครงสร้างภายใน Tag จะประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ<br /> 1. ไมโครชิป (Microchip) ทำหน้าที่ เก็บข้อมูลของวัตถุ ในหน่วยความจำ ซึ่งในหน่วยความจำนี้ อาจเป็นแบบอ่านได้อย่างเดียว (ROM) หรือ ทั้งอ่านและเขียน (RAM) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการในการนำไปใช้งาน โดยปกติ หน่วยความจำแบบ ROM จะเก็บข้อมูลด้วยความปลอดภัย เช่น สิทธิในการเข้าออกประตู ส่วน RAM ใช้เก็บข้อมูลชั่วคราวในระหว่างที่ Tag และ Reader ทำการติดต่อสื่อสารกัน<br /> นอกจาก ROM และ RAM แล้ว ยังมีหน่วยความจำแบบ EEPROM เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูลการสื่อสารระหว่าง Tag และ Reader และข้อมูลยังคงอยู่ถึงแม้จะไม่มีพลังงานไฟฟ้าป้อนให้แก่ Tag</font></p><br /><p><font color="#999999"> 2. สายอากาศ (Antenna) สายอากาศ คือ ขดลวดขนาดเล็กที่ทำหน้าที่เป็นเสาอากาศ สำหรับรับ-ส่งสัญญาณคลื่นความถี่วิทยุ และ สร้างพลังงานป้อนให้กับ ไมโครชิป<br> สายอากศจะแผ่สัญญาณวิทยุจำนวนหนึ่งออกมา เพื่อกระตุ้นให้ Tagอ่านหรือเขียนข้อมูลลงไป สายอากาศสามารถมีได้หลากหลายขนาดและรูปร่าง เพื่อให้เหมาะสมกับวัตถุที่จะนำ Tag ไปติดตั้ง และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรับ-ส่งสัญญาณคลื่นความถี่วิทยุ สายอากาศจะถูกติดไปโดยตรงกับ Transceiver ให้เป็นอุปกรณ์ติดกัน </font></p><br /><p><font color="#999999"><strong>ประเภทของ Tag</strong><br /> โดยทั่วไป Tag อาจจะอยู่ในรูปแบบที่เป็นกระดาษ แผ่นฟิล์ม พลาสติก ที่มีขนาดและรูปร่างต่าง ๆ กันไป แต่ไม่ว่า Tag จะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม เราสามารถแบ่งประเภทของ Tag ได้ 2 ชนิด ใหญ่ ๆ ได้แก่ แบบแพสทีฟ (Passive Tag) และ แบบแอ็กทีฟ (ActiveTag) โดยแต่ละชนิดจะแตกต่างกันตามรูปแบบการนำไปใช้งาน ราคา โครงสร้างภายใน และ หลักการทำงาน ดังนี้<br /> 1. Passive Tag ไม่มีแหล่งพลังงาน หรือแบตเตอรี่ภายใน Tag เพราะการทำงานอาศัยพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจาก Reader (มีวงจรกำเนิดไฟฟ้าขนาดเล็กอยู่ในตัว)หรือ ที่เรียกว่าอุปกรณ์ Transceiver</font></p><br /><p><font color="#999999"><strong>ข้อดี และ ข้อเสียของ Passive Tag</strong><br><br /> ข้อดี<br /> 1. น้ำหนักเบา<br /> 2. Tag มีขนาดเล็ก<br /> 3. ราคาถูก<br /> 4. อายุการใช้งานไม่จำกัด<br /> ข้อเสีย<br /> 1. ระยะการับส่งข้อมูลสั้น (ระยะไกลสุดเพียง 1.5 เมตร)<br> 2. หน่วยความจำมีขนาดเล็ก (ประมาณ 32 ถึง 128 บิต)<br> 3. Reader ต้องมีกำลังส่งที่สูง<br> 4. อาจเกิดผิดพลาดหากทำงานในบริเวณที่มีสัญญาณรบกวน</font></p><p><font color="#999999"><strong>โครงสร้างภายใน Tag แบบ Passive Tag ประกอบด้วย</strong><br> 1) ส่วนการควบคุมการทำงานของภาครับส่งสัญญาณวิทยุ (Analog Front-End)<br> 2) ส่วนควบคุมภาคลอจิก (Digital Control Unit)<br> 3) ส่วนของหน่วยความจำ (Memory) อาจจะเป็นแบบ ROM หรือ EEPROM</font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://4.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SMzMhpjn_lI/AAAAAAAAAAc/sWqBArK8IB4/s1600-h/pic5.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://4.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SMzMhpjn_lI/AAAAAAAAAAc/sWqBArK8IB4/s320/pic5.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5245792544442809938" /></a></font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SMzMh-cDS9I/AAAAAAAAAAs/eV8hTVk5qlQ/s1600-h/tag.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://1.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SMzMh-cDS9I/AAAAAAAAAAs/eV8hTVk5qlQ/s320/tag.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5245792550048189394" /></a><em>ตัวอย่าง Passive Tag </em></font></p><p> <font color="#999999"><br> 2. Active Tag จะมีแบตเตอรี่อยู่ภายในซึ่งใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟขนาดเล็ก เพื่อป้อนพลังงานไฟฟ้าให้ Tag ทำงาน การที่ต้องใช้แบตเตอรี่จึงทำให้ Tag มีอายุการใช้งานจำกัดตามอายุของแบตเตอรี่ เมื่อแบตเตอรี่หมดจะไม่สามารถนำ Tag มาใช้งานได้อีก<br> แต่สามารถออกแบบวงจรของ Tag ให้ใช้กระแสไฟน้อยๆ ในการทำงาน ก็อาจจะมีอายุการใช้งานนานนับสิบปี</font></p><p><font color="#999999"><strong>ข้อดี และ ข้อเสียของ Active Tag</strong></font><font color="#999999"><br> ข้อดี<br> 1. มีหน่วยความจำขนาดใหญ่<br> 2. (ประมาณ1เมกะไบต์)<br /> 3. ระยะการรับส่งข้อมูลไกล (ระยะไกลสุด 6 เมตร)<br> 4. ทำงานในบริเวณที่มีสัญญาณรบกวนได้ดี<br> ข้อเสีย<br> 1. ราคาสูง<br> 2. Tag มีขนาดใหญ่<br> 3. ระยะเวลาในการทำงานที่จำกัด ตามอายุของแบตเตอร์รี่ประมาณ 3–7 ปี<br></font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://3.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SMzMhp1KQ2I/AAAAAAAAAAk/Cicm0llznyM/s1600-h/pic6.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://3.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SMzMhp1KQ2I/AAAAAAAAAAk/Cicm0llznyM/s320/pic6.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5245792544516359010" /></a><em>ตัวอย่าง Active Tag</em> </font></p><p><font color="#999999"> ในปัจจุบันนิยมใช้ Tag แบบ Passive Tag มากกว่า แบบ Active Tag เนื่องจาก Passive Tag ได้เปรียบในเรื่องของ ราคา และ อายุการงาน<br> นอกจากการแบ่ง Tag ตามชนิดของ Tag แล้ว ยังสามารถแบ่ง Tag ได้ตาม ประเภทรูปแบบในการใช้งานได้ 3 แบบ คือ <br> 1. แบบที่สามารถถูกอ่านและเขียนข้อมูลได้อย่างอิสระ (Read-write) <br> 2. แบบเขียนได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นแต่อ่านได้อย่างอิสระ (Write-One, Read-Many : WORM) <br> 3. แบบอ่านได้เพียงอย่างเดียว (Read-Only)</font></p>ณุชนารถ 507595http://www.blogger.com/profile/15814416153519609386noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-19243353201090492172008-09-15T08:09:00.003-07:002008-09-15T08:09:36.991-07:00เครื่องอ่าน (Reader)<p><font color="#999999"> หน้าที่หลักของ Reader คือ การเชื่อมต่อกับ Tag เพื่อทำการอ่าน หรือ เขียนข้อมูลในลงใน Tag ด้วยสัญญาณความถี่วิทยุ แล้วทำการตรวจสอบความผิดพลาดของข้อมูล ถอดรหัสสัญญาณข้อมูลที่ได้รับ โดย<br> ภายใน Reader จะประกอบด้วยส่วนประกอบหลักดังนี้<br> 1. ภาครับและส่งสัญญาณวิทยุ (Tranciever)<br> 2. ภาคสร้างสัญญาณพาหะ (Carrier)<br> 3. ขดลวดที่ทำหน้าที่เป็นสายอากาศ (Antenna)<br> 4. วงจรจูนสัญญาณ (Tuner)<br> 5. หน่วยประมวลผลข้อมูล (Processing Unit)</font></p><p><font color="#999999">โครงสร้างภายใน Reader</font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5d7bcAUlI/AAAAAAAAABM/rLEw71kWdW4/s1600-h/pic7.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5d7bcAUlI/AAAAAAAAABM/rLEw71kWdW4/s320/pic7.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246233891492090450" /></a></font></p>วิไลลักษณ์ 507594http://www.blogger.com/profile/00051944257068241010noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-30226632651336203112008-09-15T08:09:00.001-07:002008-09-15T08:09:22.151-07:00การทำงานของระบบ RFID<p><font color="#999999"> ส่วนที่ถือว่าเป็น หัวใจของ RFID คือ "Inlay" การบรรจุอุปกรณ์และวงจรอิเล็กทรอนิกส์กับโลหะที่ยืดหยุ่นได้สำหรับการติดตามหรือทำหน้าที่เป็นเสาอากาศ Inlay มีความหนาสูงสุดอยู่ที่ 0.375 มิลลิเมตร สามารถทำเป็นแผ่นบางอัดเป็นชั้นๆ ระหว่างกระดาษ, แผ่นฟิล์ม หรือพลาสติกก็ได้ การที่ Inlay มีลักษณะรูปร่างที่บาง จึงทำให้ง่ายต่อการติดเป็นป้ายชื่อหรือฉลากของติดที่ตัววัตถุ<br> RFID เป็นระบบที่นำเอาคลื่นวิทยุมาเป็นคลื่นพาหะเพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์สองชนิดที่ Tag และ Reader ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless) โดยการนำข้อมูลที่ต้องการส่ง มาทำการมอดูเลต (Modulation) กับคลื่นวิทยุแล้วส่งออกผ่านทางสายอากาศที่อยู่ในตัวรับข้อมูล <br><br><strong>แผนผังการทำงานของระบบ RFID </strong></font></p><p align="center"><a href="http://3.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5kOgSAYHI/AAAAAAAAABU/MfONPITEdg8/s1600-h/pic8.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://3.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5kOgSAYHI/AAAAAAAAABU/MfONPITEdg8/s320/pic8.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246240816279609458" /></a></p><p><font color="#999999"><strong>หลักการทำงานเบื้องต้นของ RFID</strong><br> 1. Reader จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาตลอดเวลา และคอยตรวจจับว่ามี Tagในบริเวณสนามแม่เหล็กไฟฟ้าหรือไม่ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการคอยตรวจจับว่ามีการมอดูเลตสัญญาณเกิดขึ้นหรือไม่<br> 2. เมื่อมี Tag ข้ามาอยู่ในบริเวณสนามแม่เหล็กไฟฟ้า Tag จะได้รับพลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากการเหนี่ยวนำของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อให้ Tag เริ่มทำงาน และจะส่งข้อมูลในหน่วยความจำที่ผ่านการมอดูเลตกับคลื่นพาหะแล้วออกมาทางสายอากาศที่อยู่ภายในแท็ก<br> 3. คลื่นพาหะที่ถูกส่งออกมาจากแท็กส์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแอมปลิจูด, ความถี่ หรือเฟส ขึ้นอยู่กับวิธีการมอดูเลต <br> 4. Reader จะตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของคลื่นพาหะแปลงออกมาเป็นข้อมูลแล้วทำการถอดรหัสเพื่อนำข้อมูลไปใช้งานต่อไป</font></p><p><font color="#999999"><strong>หลักการทำงานของ Passive Tag</strong><br> ในย่านความถี่ต่ำและสูง(LF และ HF) จะใช้ หลักการคู่ควบแบบเหนี่ยวนำ (Inductive coupling) ซึ่งเกิดจากการอยู่ใกล้กันของขดลวดจากเครื่องอ่านที่กำลังทำงานและสายอากาศของป้าย ทำให้เกิดการถ่ายเทพลังงานจากเครื่องอ่านไปยังป้ายผ่านสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดขึ้น เมื่อไมโครชิปได้รับพลังงานก็จะทำงานตามที่ได้ตั้งค่าไว้ โดยเครื่องอ่านจะรับรู้ได้จากสนามแม่เหล็กที่ส่งมาจากป้าย<br> จากหลักการทำงานแบบคู่ควบเหนี่ยวนำ ทำให้ระยะในการอ่านข้อมูลสูงสุดประมาณ 1 เมตร แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกำลังงานของครื่องอ่าน และ คลื่นความถี่วิทยุที่ใช้</font></p><p align="center"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5kO5lKQFI/AAAAAAAAABc/lgXsKbZfu8E/s1600-h/pic9.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5kO5lKQFI/AAAAAAAAABc/lgXsKbZfu8E/s320/pic9.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246240823070834770" /></a><em><font color="#999999">ตัวอย่าง ภาพแสดงสนามแม่เหล็กจากกระบวนคู่ควบแบบเหนี่ยวนำ</font></em></p><p><font color="#999999"> ส่วนในระบบความถี่สูงยิ่ง (UHF) จะใช้หลักการคู่ควบแบบแผ่กระจาย (Propagation coupling) โดยที่สายอากาศของเครื่องอ่านจะทำการส่งพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในรูปคลื่นวิทยุออกมา เมื่อป้ายได้รับสัญญาณผ่านสายอากาศ จะสะท้อนกลับคลื่นที่ถูกปรับค่าตามรหัสประจำตัวไปยังเครื่องอ่าน (backscattering)</font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5kO5jN9uI/AAAAAAAAABk/VV7O309loG8/s1600-h/pic10.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://1.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5kO5jN9uI/AAAAAAAAABk/VV7O309loG8/s320/pic10.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246240823062689506" /></a></font><em><font color="#999999">ตัวอย่าง ภาพแสดง หลักการทำงานของ LF , HF และ UHF</font></em></p><p><font color="#999999"><strong>หลักการทำงานของ Active Tag</strong><br> Active Tag จะทำการส่งข้อมูลก็ต่อเมื่อได้รับสัญญาณจากเครื่องอ่าน และ เครื่องบอกตำแหน่ง หรือ เบคอน (beacon) ซึ่งสัญญาณจะถูกปล่อยออกมาเป็นระยะ ๆ ตลอดเวลา </font></p><p><font color="#999999"><strong>การรับ – ส่งข้อมูลระหว่าง Tag และ Reader</strong><br> การส่งข้อมูลของ RFID สามารถเข้ารหัสข้อมูล และมอดูเลชั่นได้เหมือนคลื่นความถี่วิทยุทั่วไป โดยสามารถมอดูเลตได้ทั้งแบบ ASK, PSK, FSK รูปแบบการส่งข้อมูล แบบ Full Duplex, Half Duplex , Sequential และมีระบบการใช้งานได้พร้อมกัน แบบ TDMA,FDMA ,CDMA,SDMA<br></font></p>วิไลลักษณ์ 507594http://www.blogger.com/profile/00051944257068241010noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-86225766879319149312008-09-15T08:08:00.004-07:002008-09-15T08:09:05.233-07:00มาตรฐานของ RFIFD<p><font color="#999999">มาตรฐานระหว่างประเทศสำหรับการใช้งาน RFID มี 2 หน่วยงานหลัก<br> 1. International Organization of Standard (ISO)<br> 2. EPC Global<br><br>โดยที่มาตรฐานของ RFID มีการกำหนดไว้ 4 ด้านคือ<br> 1. มาตรฐานด้านเทคโนโลยี (Technology)<br> 2. มาตรฐานรูปแบบของข้อมูล (Data format)<br> 3. มาตรฐานวิธีการทดสอบ (Conformance)<br> 4. มาตรฐานการใช้งาน (Applications)</font></p><p><font color="#999999"><strong>คลื่นความถี่ที่ใช้งานกับ RFID</strong></font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SM5sQIhoVII/AAAAAAAAAA0/UDcjmcIptMU/s1600-h/pic11.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://1.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SM5sQIhoVII/AAAAAAAAAA0/UDcjmcIptMU/s320/pic11.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246249640355452034" /></a><br><a href="http://2.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SM5sQq8nNuI/AAAAAAAAAA8/M86cOWx8u2c/s1600-h/pic12.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://2.bp.blogspot.com/_rkzbokkXEZU/SM5sQq8nNuI/AAAAAAAAAA8/M86cOWx8u2c/s320/pic12.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246249649595430626" /></a></font></p><p><font color="#999999"><strong>อัตราการรับส่งข้อมูลและแบนด์วิดธ์ </strong><br> อัตราการรับส่งข้อมูล (Data Transfer Rate) จะขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นพาหะ ความถี่ของคลื่นพาหะยิ่งสูง อัตราการรับส่งข้อมูลก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย <br> ส่วนการเลือกแบนด์วิดธ์ หรือย่านความถี่นั้นก็จะมีผลต่ออัตราการรับส่งข้อมูลเช่นกันโดยมีหลักว่า แบนด์วิดธ์ควรจะมีค่ามากกว่าอัตราการรับส่งข้อมูลที่ต้องการอย่างน้อยสองเท่า<br> <strong>ตัวอย่าง</strong> ถ้าใช้แบนด์วิดธ์ในช่วง 2.4-2.5 GHz ก็จะสามารถรองรับอัตราการรับส่งข้อมูลได้ประมาณ 2 megabits ต่อวินาที <br> แต่การใช้แบนด์วิดธ์ที่กว้างเกินไปก็อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณรบกวนมาก หรือทำให้ S/N Ratio ต่ำลงนั่นเอง ดังนั้นการเลือกใช้แบนด์วิดธ์ให้ถูกต้องก็เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณา </font></p><p><font color="#999999"><strong>ระยะการรับส่งข้อมูลและกำลังส่ง</strong><br> ระยะการรับส่งข้อมูลในระบบ RFID ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญต่างๆ ดังนี้<br> 1. กำลังส่งของตัวอ่านข้อมูล (Reader/Interrogator Power)*<br> 2. กำลังส่งของแท็กส์ (Tag Power)<br> 3. สภาพแวดล้อม <br> 4. การออกแบบสายอากาศของตัวอ่านข้อมูล**<br> *Reader จะมีกำลังส่งมากแค่ไหนก็ได้ แต่โดยทั่วไปกฏหมายของแต่ละประเทศ จะกำหนดกำลังส่งระหว่าง 100-500 mW <br> **การออกแบบสายอากาศของตัวอ่านข้อมูล จะเป็นตัวกำหนดลักษณะรูปร่างของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่กระจายออกมาจากสายอากาศ ดังนั้นระยะการรับส่งข้อมูล บางทีอาจขึ้นอยู่กับมุมของการรับส่งระหว่าง Tag และ Reader</font></p>ณุชนารถ 507595http://www.blogger.com/profile/15814416153519609386noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-40819922738546208862008-09-15T08:08:00.003-07:002008-09-15T08:08:46.323-07:00การประยุกต์ใช้งาน RFID<p><font color="#999999"> ในปัจจุบันมีการนำเอาระบบ RFID มาใช้ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบคลังสินค้า , ระบบการคมนาคม , ด้านการทหาร , ด้านการแพทย์และสาธารณสุข , การท่องเที่ยว , ด้านการศึกษา , ด้านการเกษตรกรรมและปศุสัตว์ เป็นต้น ดังนั้นจึงขอยกตัวอย่างการนำเอาระบบ RFID มาใช้ดังนี้<br> <strong>• ระบบคลังสินค้า</strong><br> จะมีการนำ Tag ไปติดที่ตัวสินค้า โดย Tag จะเก็บข้อมูลรหัสสินค้า , รายละเอียดของสินค้า เพื่อการตรวจนับจำนวน และ การติดตามสินค้าอย่างอัตโนมัติ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x81ZiyqI/AAAAAAAAABs/eLXcxezNCu0/s1600-h/pic13.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x81ZiyqI/AAAAAAAAABs/eLXcxezNCu0/s320/pic13.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246255905873513122" /></a></font></p><p><font color="#999999"> หลังจากนั้นสินค้าจะถูกบรรจุใส่ลังที่มีแถบ RFID ที่มีรหัสต่างกันติดไว้ แล้วรอการขนส่งต่อไป<br> เมื่อสินค้าถูกนำมายังศูนย์กระจายสินค้า เครื่องอ่าน RFID จะทำการตรวจสอบสินค้าทั้งหมดที่โดยไม่ต้องเปิดบรรจุภัณฑ์ออกมา<br> สินค้าเมื่อนำมาจัดเรียงในชั้นวาง Reader จะอ่าน Tag และส่งข้อมูลไปยังระบบของทางร้าน ทำให้ทางร้านสามารถตรวจสอบข้อมูลสินค้า จำนวนของสินค้าเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าเข้าร้าน <br><br> <strong>• ด้านการแพทย์และสาธารณสุข </strong><br> ในประเทศสหรัฐอเมริกา องค์การอาหารและยาของประเทศ ให้การรับรองและอนุญาตให้มีการใช้เครื่องมือ หรือเทคโนโลยี ฝังชิ้นส่วนของไมโครชิพ ซึ่งทำงานด้วยระบบ RFID เข้าสู่ผิวหนังผู้ป่วยได้ โดยลักษณะรูปร่างของไมโครชิพนี้จะมีขนาดเล็ก เท่า “เมล็ดข้าว” เท่านั้นเอง และใช้ฉีดเข้าไปฝังตัวใต้ผิวหนังของผู้ป่วย เพื่อช่วยเก็บข้อมูลในทางการแพทย์ อาทิเช่น ข้อมูลกรุ๊ปเลือด ข้อมูลการเกิดภูมิแพ้ ข้อมูลลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละบุคคล เพื่อให้แพทย์ช่วยรักษาและวินิจฉัยให้ตรงกับโรคมากที่สุดอีกทั้งยังใช้ เป็นรหัสส่วนบุคคลของผู้ป่วยอีกด้วย </font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x874-fsI/AAAAAAAAAB0/MtolGuLYZfo/s1600-h/pic14.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x874-fsI/AAAAAAAAAB0/MtolGuLYZfo/s320/pic14.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246255907615964866" /></a></font></p><p><font color="#999999"> <strong>• ด้านการเกษตรกรรมและปศุสัตว์</strong><br> ในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ มีทั้งการเลี้ยงเพื่อขายตามน้ำหนักและการเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อพันธุ์ และ แม่พันธุ์<br> หากเป็นการเลี้ยงเพื่อขายตามน้ำหนัก สัตว์สามารถกินได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณอาหารที่ได้รับ<br> หากเป็นการเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อพันธุ์ และ แม่พันธุ์ สุขภาพเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องไม่อ้วนหรือผอมเกินไป ดังนั้นต้องมีการควบคุมน้ำหนัก เพื่อรักษารูปร่างให้ได้มาตรฐาน<br> ปัญหาการควบคุมปริมาณอาหารนั้น มีซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า Porcode Management System ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ มาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี RFID เพื่อควบคุมเครื่องให้อาหาร ซึ่งระบบจะควบคุมให้เครื่องให้อาหารปล่อยอาหารมาตามปริมาณที่เหมาะสมกับสัตว์แต่ละตัว <br> ระบบให้อาหารหมูอัตโนมัตินี้ ประกอบไปด้วย แถบ RFID สำหรับระบุหมายเลขประจำตัวของสัตว์แต่ละตัว ซึ่งจะติดไว้ที่หู เครื่องอ่าน RFID ซึ่งจะติดอยู่ที่ผนังบริเวณจุดให้อาหารทำหน้าที่รับสัญญาณจากแถบ RFID อ่านหมายเลข ที่ใน Tag เพื่อให้ทราบว่าสัตว์ตัวใดกินอาหารเข้าไปในปริมาณเท่าไร</font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x9Mbs1ZI/AAAAAAAAAB8/B-GzPklQaPk/s1600-h/pic15.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://1.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x9Mbs1ZI/AAAAAAAAAB8/B-GzPklQaPk/s320/pic15.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246255912056575378" /></a><br><a href="http://4.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x9NYDhLI/AAAAAAAAACE/X2TgZfIbeN0/s1600-h/pic16.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://4.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x9NYDhLI/AAAAAAAAACE/X2TgZfIbeN0/s320/pic16.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246255912309720242" /></a></font></p><p><font color="#999999"> หรือ ใช้ RFID ในการตรวจสอบสายพันธุ์ ประวัติการฉีดวัคซีน และ ควบคุมโรคติดต่อในสัตว์</font></p><p><font color="#999999"><strong> • ระบบการคมนาคม</strong><br> ทุกวันนี้ในการใช้บริการการคมนาคมทางรถไฟฟ้า BTS หรือ รถไฟฟ้ามหานคร ตั๋วรถไฟฟ้าที่ใช้ คือ การนำเอาระบบ RFID มาใช้ นอกเหนือจากความสะดวกสบายในการเข้าออกประตูผ่านทาง ยังเกิดประโยชน์ในด้านการประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ และประหยัดพลังงาน ซึ่งตั๋วทั้งสองประเภทสามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ผิดกับตั๋วกระดาษที่ใช้แล้วทิ้ง นอกจากนี้การเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ อย่างรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ยังช่วยประหยัดน้ำมัน ลดปัญหาการจราจรติดขัดได้เป็นอย่างดี และประหยัดเวลาการเดินทางเป็นอย่างมาก</font></p><p align="center"><font color="#999999"><a href="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x9efQ4hI/AAAAAAAAACM/Iu3AhICNaZ8/s1600-h/pic17.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://2.bp.blogspot.com/_Sre5k8kPVjU/SM5x9efQ4hI/AAAAAAAAACM/Iu3AhICNaZ8/s320/pic17.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5246255916903358994" /></a></font></p>วิไลลักษณ์ 507594http://www.blogger.com/profile/00051944257068241010noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-54033683583432399692008-09-15T08:08:00.001-07:002008-09-15T08:08:34.695-07:00ผลกระทบ ปัญหาที่เกิดจากการใช้ RFID<p><strong><font color="#999999">ด้านความถี่ที่ใช้งานของ RFID </font></strong><font color="#999999"><br> คลื่นความถี่ที่ใช้รับ ส่งสัญญาณ RFID ที่เป็น Ultrahigh Frequency (UHF) อาจจะมีข้อจำกัดในการใช้งาน ในบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส และโปแลนด์ ยังคงสงวนคลื่นความถี่นี้ไว้สำหรับกิจการทางทหารและความมั่นคงเท่านั้น <br> แต่มีหลายฝ่ายพยายามจะพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถรองรับธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้น<br> การแก้ปัญหา ทำโดยการพยายามสร้างเครื่องอ่านที่สามารถอ่านข้อมูลและแปลสัญญาณจาก RFID ของคลื่นที่แตกต่างกันและในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกันได้ <br> สิ่งที่ควรพิจารณาปรับปรุงเกี่ยวกับระบบ RFID อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ เรื่องของมาตรฐานของระบบ ปัจจุบันผู้ผลิตต่างก็มีมาตรฐานเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความถี่ที่ใช้งาน หรือโปรโตคอล (Protocol) เรายังไม่สามารถนำ Tag จากผู้ผลิตรายหนึ่งมาใช้กับตัวอ่านข้อมูลของผู้ผลิตอีกรายหนึ่งหรือในทางกลับกันได้ นี่เป็นอุปสรรคที่สำคัญของการเติบโตของระบบ RFID </font></p><p><font color="#999999"><strong>ด้านวัสดุที่นำ Tag ไปติดตั้ง </strong><br> ข้อจำกัดของคลื่นที่ใช้รับ ส่งข้อมูลระหว่าง Tag และ Reader คือคลื่นที่ถูกส่งออกไปจะสะท้อนกลับเมื่อกระทบกับโลหะ หรือ คลื่นความถี่จะถูกดูดซับโดยน้ำ รวมถึงความผิดพลาดจากการอ่านค่า ปัญหาเหล่านี้ทำให้บรรดาผู้ค้าปลีกต้องหาข้อสรุปสำหรับข้อจำกัดเหล่านี้ เพราะมีสินค้ากว่า 100 ชนิดที่มีน้ำบรรจุอยู่ในปริมาณที่สูง หรือทำมาจากโลหะ </font></p><p><font color="#999999"><strong>ด้านสิทธิส่วนบุคคล </strong><br> ข้อมูลจาก The United States of Food and Drug Administration (USFDA) พบว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลบางแห่งในสหรัฐฯ ได้ฝัง RFID Chip ไว้ใต้ผิวหนงบริเวณท่อนแขน ตรง ส่วนกล้ามเนื้อ Triceps ของคนไข้ เพื่อความสะดวกในการตรวจรักษาและติดตามข้อมูลการ รักษาของผู้ป่วย เมื่ออวัยวะที่ได้รับการฝังชิปไว้ภายในถูกสแกนด้วย Reader ระบบจะ แสดงข้อมูลการรักษาของคนไข้รายนั้นออกมา ทำให้แพทย์ที่ถูกเปลี่ยนใหม่มาดูแลรักษาคนไข้รายดังกล่าวได้รับทราบประวัติการรักษาโดยแพทย์คนก่อนหน้านั้นได้อย่างถูกต้อง <br> ถึงแม้จะมีคุณประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็สามารถก่อให้เกิดผลเสียกับประชาชน หรือผู้บริโภคได้ ด้วยคุณสมบัติอันอัจฉริยะของเทคโนโลยี เช่น ประวัติการซื้อสินค้า หรือข้อมูลประจำตัวของเราอาจถูกบันทึกไว้ตอนซื้อสินค้าในร้านค้า และข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปใช้โดยเจ้าของร้านค้า เพื่อทำโฆษณาขายสินค้าให้ตรงกับพฤติกรรมาของเราต่อไป นั่นหมายถึงเราจะถูกรุกรานจากโฆษณาเหล่านั้นอยู่เสมอ หรือในกรณีที่เรามี Tag อยู่กับตัว ไม่ว่าจะติดอยู่กับเสื้อผ้า รองเท้า หรือสิ่งของต่าง ๆ เมื่อเราอยู่ในรัศมีสัญญาณของ Reader ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราจะถูกเปิดเผย ทั้งหมดนี้ หมายถึงสิทธิส่วนบุคคลของเราได้ถูกละเมิด </font></p><p><font color="#999999"><strong>ด้านความปลอดภัยของข้อมูล </strong><br> นายลูคัส กรุนวาลด์ (Lukas Grunwald) นักวิจัยจาก DN-Systems ประเทศเยอรมนี กล่าวในงานสัมมนา “เดอะ แบล็ก แฮท คอนเฟอเรนส์” (The Black Hat Conference) ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ว่า พบช่องโหว่ในระบบพาสปอร์ตอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการใช้ชิป RFID (Radio Frequency Identification) ที่ได้รับความนิยมใช้งานในการ์ดประเภทต่าง ๆ สำหรับยืนยันตัวบุคคล และเก็บข้อมูล โดยเฉพาะเอกสารสำหรับการเดินทางในต่างประเทศอย่างพาสปอร์ต (Passport) เนื่องจากสามารถย่นเวลาในการตรวจเอกสารเข้าเมืองของเจ้าหน้าที่ลงได้มากกว่าเดิม แต่พบว่าการปลอมแปลงข้อมูลจากชิปดังกล่าวทำได้ง่ายมาก เพียงแค่มีเครื่องอ่าน (RFID reader) กับเครื่องเขียนข้อมูลลงบัตรสมาร์ทการ์ด (Smart Card Writer) เท่านั้น</font></p>วิไลลักษณ์ 507594http://www.blogger.com/profile/00051944257068241010noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5450559955652820064.post-14877669177204963462008-09-15T08:07:00.001-07:002008-09-15T08:07:56.838-07:00เอกสารอ้างอิง<p><font color="#999999">ขวัญชนก วิริยกุลโอภาศ. “รายงาน RFID(Radio Frequency Identification) .” เข้าถึงจาก : <br>http://www.student.chula.ac.th/~49801110/RFID.pdf สืบค้น 28 สิงหาคม 2551. </font><p><font color="#999999">ปรเมศวร์ กุมารบุญ. “มารู้จัก RFID เทคโนโลยีนี้ จะพลิกโลก.” เข้าถึงจาก : http://www.marinerthai.com/forum/index.php?topic=757.msg2069 สืบค้น 1 กันยายน 2551.</font></p><p><font color="#999999">ศูนย์พัฒนาธุรกิจออกแบบวงจรรวม. “รู้จักกับเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี.” เข้าถึงจาก : http://www.rfid.thai.net/rfid_contest/link/rfid_booklet.pdf สืบค้น 1 กันยายน 2551.</font></p><p><font color="#999999">ศูนย์เทคโนยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ. “แนวทางการพัฒนา RFID สำหรับภาคอุตสาหกรรมและบริการ.” </font></p><p><font color="#999999">สมนึก สมชัยกุลทรัพย์. “ตัวอย่างและประสบการณ์การนำเทคโนโลยี RFIDมาใช้ในธุรกิจและในชีวิตประจำวัน.” เข้าถึงได้จาก : http://www.tnsc.com/RFID.pdf. สืบค้น 28 สิงหาคม 2551.</font></p></p>ณุชนารถ 507595http://www.blogger.com/profile/15814416153519609386noreply@blogger.com0